JohnnyBet.com th

บทสัมภาษณ์กับ Roberto Carlos

โดย Guillem Balagué จาก
บทสัมภาษณ์กับ Roberto Carlos

ในครั้งนี้นักฟุตบอลฝีเท้าในตำนานอย่าง Roberto Carlos ได้ให้เกียรติมาเป็นแขกรับเชิญพิเศษของเราระหว่างสุดยอดการประชุม SBC Summit ที่จัดขึ้นที่เมืองบาร์เซโลนา (Barcelona) โดยการ์ลุสได้แบ่งปันเรื่องราวเกี่ยวกับฟุตบอลและความคิดเห็นต่าง ๆ ผ่านการสัมภาษณ์กับ Guillem Balagué บทสนทนาที่น่าสนใจนี้ได้สอบถามเกี่ยวกับช่วงเวลาแห่งความรุ่งโรจน์ของการ์ลุส พร้อมกับข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในโลกฟุตบอลปัจจุบัน ซึ่งการ์ลุสก็ได้พาเราท่องเวลาย้อนกลับไปดูฟรีคิกอันโด่งดังของเขาที่พบกับทีมฝรั่งเศสในปี 1997 มีการบรรยายถึงบรรยากาศของสโมสรเรอัล มาดริด (Real Madrid) ทั้งในอดีตและปัจจุบัน และยังเล่าเกี่ยวกับกิจกรรมของเขาในปัจจุบันให้เราฟังเพิ่มเติมอีกด้วย ยิ่งไปกว่านั้น การ์ลุสยังได้แบ่งปันความคิดเห็นเกี่ยวกับการแข่งขันชิงรางวัลบาลงดอร์ (Ballon d'Or) กับสโมสรเรอัล มาดริดที่กำลังจะมาถึงในเร็ววันนี้ มาฟังบทสัมภาษณ์อันน่าตื่นเต้นและทำความรู้จักกับสุดยอดนักเตะปีกซ้ายให้มากกันกว่านี้เถอะ!

 

อ่านบทถอดความนี้ในภาษาอื่น:

Guillem Balagué:

สวัสดีตอนเช้าครับ คุณRoberto Carlos ตอนนี้เราอยู่ที่ไหนกันนะครับ?

Roberto Carlos:

สวัสดีตอนเช้าครับ ตอนนี้พวกเราอยู่กันที่เมืองมาดริด (Madrid) ก็อย่างที่คุณรู้ว่าตอนนี้ผมเป็นตัวแทนของทางสโมสรเรอัล มาดริด นะครับ และในสุดสัปดาห์นี้พวกเราก็จะไปที่เมืองเซบีย่า (Seville) จากนั้นก็ยังเดินทางต่อไปยังเมืองบรากา (Braga) กับเมืองบาร์เซโลนา นับว่าเป็นสัปดาห์ที่สำคัญมาก ๆ เลยล่ะครับ

Guillem Balagué:

แล้วในวันนี้พวกเราก็จะมาพูดถึงเกมสำคัญที่สุดแห่งปีเป็นอันดับแรกกันเลย นิยามแบบนี้คงถูกต้องแล้วใช่ไหมครับ สำหรับการแข่งขันเอล กลาซิโก (El Clásico)?

Roberto Carlos:

ผมคงบอกไม่ได้ว่าเป็นการแข่งขันที่สำคัญที่สุดหรอกครับ เพราะว่าสโมสรเรอัล มาดริด ให้ความสำคัญกับนัดเตะทุกฤดูกาลเสมอ แต่ก็พูดได้เต็มปากว่าการแข่งขันนี้เป็นตัวสร้างมาตรฐานให้กับฤดูกาลนี้ได้เลย เพราะเป็นแรงผลักดันให้กับนักเตะและยังมอบช่วงเวลาที่ดีที่สุดให้กับพวกเขาด้วยครับ

Guillem Balagué:

คุณอยากเล่าหน่อยไหมครับ? ช่วยพาเราย้อนกลับไปในยุคที่คุณลงแข่งหน่อยได้ไหม? คุณอยากแชร์เรื่องราวอะไรสักหน่อยไหมครับ?

Roberto Carlos:

ก็ไม่เลวนะครับ มาเริ่มกันเลย!

Guillem Balagué:

เราจะเริ่มจากตรงไหนกันดีครับ? ตอนที่คุณยิงได้ 3 ประตูในการแข่งขันเอล กลาซิโก เป็นยังไงครับ?

Roberto Carlos:

ได้สิครับ สามประตูที่ผมทำได้ตอนนั้น ครั้งแรกที่สนามกีฬาซานเตียโก เบร์นาเบว (Santiago Bernabéu) ครั้งที่สองจากนอกเขตโทษ แล้วครั้งที่สามที่ผมยิงได้ก็... ผมขอนึกก่อนนะ... เป็นหนึ่งในครั้งที่พวกเราคว้าชัยชนะมาได้ที่เมืองบาร์เซโลน่าจากการส่งบอลของซิซู (Zizou) แล้วผมก็ทำประตูนั้นได้ครับ

Guillem Balagu:

ผมจำได้แล้วว่าคุณยิงได้หนึ่งประตูที่สนามกีฬาเบร์นาเบว และอีกหนึ่งประตูที่สนามกีฬาคัมป์นู (Camp Nou)

Roberto Carlos:

ใช่ครับ

Guillem Balagué:

สองประตูนั้นยอดเยี่ยมมากเลยครับ แต่ครั้งที่สาม… เป็นการยิงเข้าประตูตัวเอง

Roberto Carlos:

เปล่าครับ นั่นไม่ใช่การยิงเข้าประตูตัวเองหรอก ตอนนั้นที่ซามุแอล เอโต (Samuel Eto'o) ครองบอลอยู่ ผมเองก็กำลังจับตาดูบอลลูกนั้นครับ เป็นจังหวะที่ผมไม่เห็นว่าอิเกร์ (Iker) กำลังวิ่งเข้ามา และเราสองคนก็โฟกัสบอลและเอโตเหมือนกัน... แล้วผมเกือบจะทำประตูแล้ว แต่เอโตก็ยิงประตูนั้นเอง

Guillem Balagué:

งั้นก็ถือว่าไม่นับสินะครับ…

Roberto Carlos:

ครับ อันนั้นเราไม่นับว่าเป็นการยิงเข้าประตูตัวเอง

Guillem Balagué:

ยอดเยี่ยมมากครับ แล้วการแข่งขันเอล กลาซิโก ทำให้คุณนึกถึงเรื่องเก่า ๆ บ้างหรือเปล่า? อย่างความรู้สึกในการลงสนาม เสียงเชียร์ หรือความตึงเครียดภายใน คุณนึกถึงอะไรครับ?

Roberto Carlos:

จริง ๆ ก็ทุกอย่างนะครับ การลงแข่งแมตช์นั้นจะต้องเตรียมตัวในระหว่างสัปดาห์มาเป็นอย่างดี แม้ว่าจะมีแมตช์แชมเปียนส์ลีก (Champions League) รออยู่ก็ตาม การแข่งขันกับบาร์เซโลน่าให้แรงผลักดันที่ต่างกัน การเตรียมตัวก็ย่อมแตกต่างกันออกไป การแข่งขันที่สนามกีฬาซานเตียโก เบร์นาเบว เป็นอะไรที่ง่ายกว่ามากสำหรับพวกเราครับ การเตรียมตัวลงแข่งที่บาร์เซโลนาจะเป็นอีกระดับหนึ่งเสมอ เพราะเราไม่มีทางรู้ได้เลยว่าบาร์เซโลนาจะเล่นเกมแบบไหน พวกเขาจะเล่นเกมรุกหรือตั้งรับมากกว่ากัน พวกเขาจะครองบอลหรือยอมปล่อยให้พวกเราครองบอลเพื่อโจมตีพวกเขากันแน่ การเจอกับทีมบาร์เซโลน่าเป็นเรื่องที่ท้าทายมาตลอดครับ เพราะว่าเป็นสโมสรที่มีความซับซ้อน และก็เป็นสาเหตุที่เราชนะไม่กี่ครั้ง ซึ่งบรรยากาศจะต่างจากที่เบร์นาเบวและตลอดทั้ง 11 ฤดูกาลที่ผมเล่นให้กับทีมนี้ พวกเราแพ้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น อย่างเกมที่ยอดเยี่ยมที่สุดของ รอนัลดีนโย (Ronaldinho) ผมไม่แน่ใจว่าคุณจำได้หรือเปล่า

Guillem Balagué:

อืมม

Roberto Carlos:

เราจึงชนะที่นี่ได้ง่าย ๆ แต่การที่จะคว้าชัยชนะที่นั่นกลับเป็นเรื่องที่ท้าทายมาก แต่การเตรียมตัวเพื่อการแข่งขันนั้นก็เป็นอะไรที่พิเศษเสมอ ผมมาจากตอนที่ลูอิช ฟีกู (Luis Figo) เล่นให้กับทีมบาร์เซโลน่า แล้วผมก็เตรียมตัวเยอะมากครับ ผมนอนไม่หลับเพราะมัวแต่คิดว่าจะทำประตูยังไง เป็นเรื่องที่ยากมากเพราะฟีกูเป็นนักเตะที่สำคัญที่สุดในยุคนั้นเลย

Guillem Balagué:

แล้วในวันที่คุณรู้ว่าเขาย้ายไปที่มาดริดก็รู้สึกโล่งใจเลยสินะครับ?

Roberto Carlos:

ผมรู้สึกขอบคุณประธานสโมสร โฟลเรนติโน เปเรซ (Florentino Peréz) มากที่เซ็นสัญญากับเขาและทำให้ผมมีโอกาสเล่นกับเขาครับ

Guillem Balagué:

คุณถามผมว่าจำเกมของ รอนัลดีนโย ได้หรือเปล่าใช่ไหมครับ พวกเราทุกคนจำได้อยู่แล้ว ผมคิดว่าคุณอาจจะเลือกจดจำบางอย่างและเลือกที่จะลืมประสบการณ์บางอย่างที่ไม่ดี หากคุณจำทุกอย่างได้ ผมคิดว่าคุณคงจำได้ว่าคุณเคยถูกลงโทษให้ออกจากสนามครั้งหนึ่งสินะครับ

Roberto Carlos:

ผมคิดว่าผมโดนไล่ออกจากสนามสองครั้งที่บาร์เซโลน่านะ ครั้งแรกในนาทีที่ 6 และอีกครั้งในนาทีที่ 20 ใช่ไหมนะ?

Guillem Balagué:

อืมม

Roberto Carlos:

ผมยังไม่เข้าใจเหตุผลเลยจริง ๆ เพราะว่าผมเตรียมตัวมาทั้งสัปดาห์เพื่อลงแข่งแมตช์ระดับนั้น ผมไม่รู้ว่ากรรมการเตรียมตัวมายังไงในการตัดสินเกม หรือส่งนักเตะออกจากสนาม หรือไม่ยอมปากนักหวีดจุดโทษ แต่พวกเราก็ต่างทำผิดพลาดได้ทั้งนั้นแหละครับ ผมไม่ต่อต้านกรรมการที่ไล่ผมออกจากสนามหรอก ตอนที่ผมเจอกรรมการหลายคนระหว่างการแข่งขันแชมเปียนส์ลีก หรือลาลีกา (La Liga) พวกเขาก็ขอโทษผม แล้วผมก็เข้ากับทุกคนได้ดีด้วย เพราะสุดท้ายแล้วผมอาจจะไม่เข้าใจการตัดสินเกมในตอนนั้น แต่... ในระหว่างการแข่งขันอย่างเอล กลาซิโก ยิ่งกรรมการผู้ตัดสินแสดงตัวน้อยมากเท่าไหร่ก็จะยิ่งดีมากเท่านั้น กรรมการทุกคนย่อมมองเห็นข้อผิดพลาดของนักเตะที่ฝึกซ้อมมาตลอดทั้งสัปดาห์สำหรับการแข่งขันแมตต์นั้น และพร้อมตัดสินโทษในเวลา 6 หรือ 20 นาทีอยู่แล้วครับ บางครั้งการพูดคุยกับนักเตะก่อนตัดสินเกมอาจจะเป็นเรื่องที่ดีกว่าสำหรับการแข่งขันระดับนี้ก็ได้ครับ และก็มักจะมีกรรมการผู้ตัดสินที่ชอบให้ตัวเองเป็นตัวเอกมากกว่านักเตะตลอด ซึ่งผมไม่เคยชอบคนประเภทนั้นเลยครับ

Guillem Balagué:

สิ่งที่คุณต้องการคือความเข้าใจของกรรมการผู้ตัดสินว่านี่เป็นแมตช์ที่พิเศษสินะครับ ถ้าพูดกันตามตรงจะบอกว่าทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมากในช่วงเวลาตึงเครียด และถ้าจะตัดสินไล่นักเตะที่ได้ใบเหลือง 2 ใบออกจากสนาม ก็ควรจะลองคิดอีกครั้งถูกไหมครับ?

Roberto Carlos:

ใช่ครับ และไม่มีโอกาสในการทำประตูที่ชัดเจนเท่าไหร่ เพราะนี่คือการเล่นในตำแหน่งปีกหรือจะต้องเผชิญหน้ากับกรรมการผู้ตัดสิน ซึ่งนักเตะกับกรรมการจะเห็นสถานการณ์ที่เกิดขึ้นไม่เหมือนกัน มีกรรมการไม่กี่คนที่จะทำหน้าที่ได้ดีในการแข่งขันที่ยิ่งใหญ่ระดับนี้หรอกครับ และก็มีบางคนที่อาจจะมีอคติมากกว่าจะยอมพูดคุยกับนักเตะ แล้วบอกนักเตะขอโทษจากการเข้าปะทะหรือจากการใช้แฮนด์บอลภายในเขตโทษ ผมคิดว่าวงการฟุตบอลกำลังพัฒนาไปในทิศทางที่ดีขึ้นเรื่อย ๆ นะครับ ในสมัยก่อนผมต้องทุกข์ทรมานเพราะความเร็วฝีเท้าของตัวเอง แต่สุดท้ายผมก็ได้ไปเล่นกับบราซิลหรือไม่ก็เล่นในเอล กลาซิโก นั่นเป็นความฝันสำหรับผมที่ได้ลงเล่นในระดับนี้เลยก็ว่าได้ เพราะว่าการเป็นแชมป์แชมเปี้ยนส์ลีกหรือแชมป์โลกมีค่ามากกว่าได้รับใบแดงซะอีก

Guillem Balagué:

สิ่งที่คุณอยากจะบอกก็คือการเล่นในเอล กลาซิโก ทำให้คุณต้องเรียนรู้วิธีการควบคุมอารมณ์ของตัวเองสินะครับ ผมเดาได้เลยว่าฟอร์มการเล่นของคุณดีขึ้นเมื่ออายุมากขึ้น นักเตะสมัยนี้อายุน้อยกว่ามาก น่าจะมีผู้เล่นหลายคนเลยที่ไม่รู้ว่าจะจัดการตัวเองยังไง ถูกไหมครับ? คุณคงจะเคยเจอพวกเขามาไม่น้อยเลยทั้งที่บาร์ซาและมาดริด

Roberto Carlos:

ถูกครับ อย่างที่ผมบอกไปแล้วว่านั่นเป็นแมตช์ที่พิเศษมาก การเตรียมตัวของนักเตะก็ต้องต่างออกไปเหมือนกัน แต่ถ้าพูดถึงการเตรียมตัวของกรรมการผู้ตัดสิน ผมก็ขอย้ำผมไม่รู้อะไรมากหรอกครับ แต่ในเกมระดับนั้นที่ผู้เล่นจะต้องลงแข่งโดยมีแฟน ๆ มารอดูลูกเตะกับการยิงประตู พร้อมกับบรรยากาศที่ฮึกเหิมของมาดริดกับบาร์ซ่า ผู้ตัดสินและผู้เล่นควรรู้ว่าต้องทำยังไงเพราะแฟนบอลต่างให้ความสนใจกับนัดเตะนั้น และพวกเขาก็ยอมจ่ายเงินเพื่อได้เห็นผู้เล่นสุดแข่งแกร่งที่สามารถสร้างหน้าประวัติศาสตร์อันยาวนานได้ ใคร ๆ ก็อยากดูมาการปะทะกันของมาดริดกับบาร์ซ่าอยู่แล้วครับ เพราะนั่นเป็นแมตช์ที่สำคัญที่สุดของฤดูกาลสำหรับใครหลายคนเลย แต่อาจจะไม่ใช่สำหรับผู้เล่นและคนอื่น ๆ ในสโมสรก็ได้ เพราะฤดูกาลนั้นจะตัดสินกันในเกมเหย้าและกับทีมที่กำลังต่อสู้เพื่อลีก เพราะสุดท้ายเกมระหว่างเรอัล มาดริด กับบาร์เซโลน่าก็ไม่ได้เป็นตัวตัดสินฤดูกาล เพราะมีการตัดสินในการแข่งขันกับทีมอื่น ๆ ที่ทำแต้มได้ หรือทีมนั้นสามารถชนะแต้มได้จากทั้งการเล่นในบ้านและนอกบ้านครับ

Guillem Balagué:

จะว่าไปแล้วคุณมีเพื่อนที่มีคุณภาพเยอะมากเลยนะครับ แต่มีเพื่อนคนหนึ่งที่ทำให้ผมประทับใจมากที่สุด ผมหมายถึงมิตรภาพระหว่างคุณกับ เดวิด เบ็คแฮม (David Beckham) คุณพูดภาษาอังกฤษไม่ได้ แล้วเขาก็พูดภาษาสเปนไม่ได้ แต่พวกคุณสามารถสร้างมิตรภาพได้อย่างยอดเยี่ยมเลย ช่วยเล่าให้เราฟังเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของคุณกับเดวิด และช่วงเวลาที่แข่งขันในเอล กลาซิโก ได้ไหมครับ ผมไม่แน่ใจว่าคุณต้องอธิบายให้เขาฟังในแบบฉบับของคุณเองหรือเปล่า

Roberto Carlos:

ความจริงแล้วมิตรภาพของผมกับเดวิด... คนส่วนใหญ่รู้เรื่องนี้อยู่แล้ว และยังรับชมได้ในสารคดีชุดล่าสุดด้วย ถึงแม้ว่าจะมีความแตกต่างทางภาษา... ต้องบอกว่าพวกเราแค่มองกันตากันก็รู้ว่าต้องทำอะไร นั่นเป็นมิตรภาพที่ดีจริง ๆ ครับ ในตอนที่เขาเซ็นสัญญากับทางเรอัล มาดริด ผมคิดว่าผมน่าจะเป็นคนแรก ๆ เลยที่ต้อนรับเขาอย่างอบอุ่น เขาเป็นหนึ่งในเพื่อนที่ดีที่สุดที่ผมเคยมีมาและยังเป็นนักฟุตบอลที่ยอดเยี่ยมด้วยครับ ถึงใครหลายคนจะบอกว่าเดวิดเป็นเหมือนภาพลักษณ์ของทีมมากกว่า แต่สำหรับพวกเราแล้วเขาเป็นมากกว่านั้น ไม่ว่าจะเป็นแบบอย่างดีที่ เป็นผู้นำ และเป็นบุคคลที่ยอดเยี่ยม ผมคิดว่าหลาย ๆ คนคงจะไม่รู้จักตัวจริงของเดวิด เบ็คแฮม หรอกครับ แต่ผมโชคดีและเป็นเกียรติมากที่ได้ยืนเคียงข้างเขามานาน ทั้งในการฝึกซ้อมที่มาดริดและกับครอบครัวของเขาที่บ้าน นั่นเป็นมิตรภาพที่ยอดเยี่ยมของคนที่มีภูมิหลังของประเทศบ้านเกิดและวัฒนธรรมที่แตกต่างกันจริง ๆ ทุกครั้งที่ผมเห็นเขาที่มาดริดก็รู้สึกดีมากที่เห็นเขามีความสุข ตอนนี้เขาเป็นประธานของสโมสรฟุตบอลอินเตอร์ไมแอมี (Inter Miami) แล้ว แต่เขาก็ยังเป็นเพื่อนของผม เพราะผมไม่เคยมองเขาเป็นนักฟุตบอล ประธานสโมสร หรือนักธุรกิจอยู่แล้ว ผมมองเขาในฐานะเพื่อนมาโดยตลอด และผมก็ตื่นเต้นมากที่ได้รู้ว่าผมกับเขายังคงมีความรักและความห่วงใยให้กันเสมอมา

Guillem Balagué:

ในตอนนี้มีนักเตะชาวอังกฤษที่มากความสามารถและมีบุคลิกที่ไม่เหมือนใครอีกคนอย่าง จูด เบลลิงแฮม (Jude Bellingham) ที่มีอายุเพียง 20 ปี แต่ก็สร้างความสำเร็จให้กับมาดริดไม่น้อยเลยทีเดียว แล้วยังมีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วด้วย คุณแปลกใจไหมที่เขาสามารถปรับตัวได้อย่างรวดเร็วขนาดนี้? คุณเล่าให้ผมฟังเกี่ยวกับเขาได้หรือเปล่าครับ?

Roberto Carlos:

ความจริงแล้วการปรับตัวของนักเตะชาวต่างชาติในสโมสรเรอัล มาดริด มีความพิเศษเฉพาะตัวอยู่แล้วครับ ผมอยู่ที่นี่มาตั้งแต่ปี 1996 และทีมก็ต้อนรับผมในลักษณะเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นเฟร์นันโด อิเอร์โร (Fernando Hierro) เฟร์นันโด เรดอนโด (Fernando Redondo) มาโนโล ซานคิส (Manolo Sanchís) หรือปาโก บูโย (Paco Buyo) และนักเตะคนอื่น ๆ ในยุคของผมก็ต้อนรับเซดอร์ฟ (Seedorf) มิยาโตวิช (Mijatović) และผู้เล่นคนอื่นในแบบเดียวกัน ตอนนี้ที่ผมเป็นตัวแทนของสโมสร พวกเราก็ยังคงดูแลโรดรีกู (Rodrygo) วีนี่ (Vini) จูด (Jude) กูร์ตัว (Courtois) แบบเดียวกัน เพราะว่านักเตะดาวรุ่งที่ย้ายมาอยู่กับเราเหล่านี้ยังไม่รู้เกี่ยวกับระบบและการจัดการภายในของสโมสรในตอนแรกหรอกครับ เราจึงช่วยให้การใช้ชีวิตของพวกเขาง่ายขึ้น โดยเราจะอธิบายว่าวัฒนธรรมของสโมสรเรอัล มาดริด คือเราจะต้องชนะเสมอและนักเตะจะต้องปรับตัวให้เร็วมากที่สุด แล้วเบลลิงแฮมก็สามารถปรับตัวได้ดี เขาเป็นคนอังกฤษยุคใหม่ เป็นนักฟุตบอลที่ยอดเยี่ยม และเป็นคนที่อยากจะเรียนรู้อยู่ตลอด วันก่อนเขาสัมภาษณ์ว่าอยากเล่นให้กับสโมสรของเราไปอีก 15 ปี สำหรับคนที่อยู่ที่นี่มานานแล้วก็รู้สึกยินดีเป็นอย่างมากที่ได้ยินคำพูดนี้ออกมาจากปากของชายหนุ่มที่มีศักยภาพและบุคลิกแบบนี้ครับ เขาสามารถปรับตัวได้เร็วมาก ผมคิดว่าแฟนบอลเรอัล มาดริดจะต้องพอใจกับเขาไม่น้อยเลยล่ะ แถมไม่ว่าเขาจะลงเล่นไปกี่นัดและทุกครั้งเขาก็มักจะเป็นผู้เล่นที่ดีที่สุดในเกมเสมอ แต่เราต้องไม่ลืมว่าที่เรอัล มาดริด เราไม่ได้พึ่งพานักเตะเพียงคนเดียว พวกเราเป็นครอบครัวที่เล่นกันเป็นทีมมาโดยตลอดครับ ที่นี่ทุกคนจะต้องชนะและแพ้ไปด้วยกัน แต่แน่นอนกว่ามักจะมีนักเตะคนหนึ่งที่สร้างมาตรฐานให้กับผู้เล่นคนอื่นในทีมเสมอ ไม่ว่าจะทำประตูหรือจ่ายบอล แต่สิ่งหนึ่งที่ทำให้เรอัล มาดริด มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวก็คือเราทำงานร่วมกันเป็นทีมเพื่อสร้างความสุขให้กับแฟน ๆ เพราะนี่คือสโมสรที่พิเศษไม่เหมือนใครครับ

Guillem Balagué:

Roberto คุณคิดว่าจูดมีลักษณะคล้ายกับซีดาน (Zidane) บ้างไหมครับ? เพราะบางทีฟอร์มการเล่นของเขาก็เหมือนซีดานเลย คิดแบบนั้นไหมครับ?

Roberto Carlos:

นักเตะทุกคนมีสไตล์การเล่นเป็นของตัวเองครับ อย่างเช่น การเล่นของผมก็คล้ายกับมาร์เซลู (Marcelo) นิดหน่อย แต่มาร์เซลูเล่นได้ดีกว่าผมมาก ถ้าผมเล่นได้แบบเขา ผมคงจะกลายเป็นนักเตะที่ดีที่สุดในโลกไปหลายปีเลยล่ะครับ สำหรับเบลลิงแฮม… พูดตามตรงผมก็ยังไม่แน่ใจเหมือนกันครับ ฟอร์มการเล่นของเขาคล้ายกับนักเตะแต่ละคนเล็กน้อย บางครั้งเขาก็เล่นเหมือนซิซู และในบางจังหวะเขาก็เล่นเหมือนราอุล (Raul) มากกว่า หรือบางครั้งก็มีไหวพริบอย่างเฟร์นันโด เรดอนโด ผมถึงพูดเสมอว่านักฟุตบอลแต่ละคนมีสไตล์การเล่นเป็นของตัวเอง ผมจึงมองเห็นสไตล์ของนักเตะทุกคนในตัวเขา นับว่าเขาเป็นนักเตะที่ศักยภาพที่น่าทึ่งเลยทีเดียวครับ

Guillem Balagué:

มาพูดถึงอีกด้านหนึ่งที่บาร์ซ่ากันดีกว่า เราจะรอดูว่ารอแบร์ต แลวันดอฟสกี (Robert Lewandowski ) จะได้ลงสนามหรือเปล่า ถ้าเขาได้ลงเล่น เขาจะกลายเป็นอุปสรรคครั้งใหญ่เลยใช่ไหมครับ?

Roberto Carlos:

ก็บางทีนะครับ แต่ถ้าจะให้พูดกันตามตรง ทุกอย่างก็ขึ้นอยู่กับหลาย ๆ ปัจจัย ทั้งนักเตะ สโมสร และแมตช์ จุดเด่นที่ดีที่สุดของนักเตะทุกคนที่มาดริด โดยเฉพาะนักเตะที่เพิ่งย้ายเข้ามาในปีนี้ ก็คือพวกเขาทุกคนชนะมากขึ้นในทุก ๆ เกม และดูว่าฟอร์มการเล่นของพวกเขาสิครับ เด็กหนุ่มดาวรุ่งกลุ่มนี้ยังเติบโตได้อีกเยอะเลย ผมจำได้ว่าตอนที่ผมย้ายมาที่มาดริดในช่วงปี 1996 - 1997 ได้เลย ผมอยากจะลงแข่งขันในทุกแมตช์ ผมอยากเล่นในระดับที่ดีที่สุด และมาในวันนี้เด็กรุ่นใหม่ก็รู้ดีว่าพวกเขากำลังพัฒนาและเติบโตขึ้นในแต่ละนัด และในระหว่างการแข่งขันนัดสำคัญ ๆ เราก็เห็นคุณค่าและศักยภาพของผู้เล่นกลุ่มนั้นมากขึ้นครับ

Guillem Balagué:

ในเวลานี้คุณมองบาร์ซ่าแบบไหนครับ? บางครั้งต้องบอกว่าผลงานสำคัญกว่าเกม แต่ตามความเป็นจริงแล้ว ทีมของพวกเขายังคงอยู่ในอันดับต้น ๆ อย่างที่เคยเป็นมา

Roberto Carlos:

ก็เป็นธรรมดาที่จะมีคู่แข่งคนสำคัญเสมอไม่ว่าจะเล่นได้ดีหรือไม่ดีก็ตามครับ พวกเขาสร้างประวัติศาสตร์ของตนเองและเป็นสโมสรที่ได้รับความเคารพจากแฟนบอลทั่วโลก ซึ่งยากที่จะพูดจากมุมมองของคนภายนอก แต่เราก็เห็นจากในข่าวว่าผู้เล่นของพวกเขามีอาการบาดเจ็บจำนวนมาก ซึ่งเราไม่ชอบให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้เลย เพราะเราก็ประสบปัญหาแบบเดียวกันกับมีลีเตา (Militão) กูร์ตัว และวีนี่ที่เพิ่งได้รับบาดเจ็บจากสาเหตุกระดูกร้าว แต่ตอนนี้เขาลงเล่นสนามและกลับมาเป็นวีนีคนเดิมแล้ว ส่วนบาร์เซโลน่าก็คงจะเป็นคู่แข่งที่เราจะต้องเอาชนะให้ได้ตลอดกาล และยังเป็นสโมสรที่คู่ควรจะได้รับความเคารพอย่างมากครับ

Guillem Balagué:

ผมได้ยินคุณชื่นชอบและติดตามการแข่งขันพรีเมียร์ลีก (Premier League) อยู่บ้าง คุณชอบการแข่งขันนี้ตรงไหนครับ?

Roberto Carlos:

บรรยากาศการแข่งขันในสนามครับ เพราะแฟนบอลจะร่วมชมการแข่งขันจริง ๆ ไม่สำคัญเลยว่าจะเป็นลิเวอร์พูล (Liverpool) เชลซี (Chelsea) แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด (Manchester United) แมนเชสเตอร์ซิตี (Manchester City) หรือแมตช์อื่น ๆ ที่แฟนบอลจะแสดงความกระตือรือร้นอยู่ตลอดเวลาครับ และสิ่งสำคัญอีกอย่างหนึ่งก็คือการถ่ายทอดเกมซ้ำอีกครั้งระหว่างการแข่งขันโดยเอาผู้เล่นเก่ามานั่งคุยกับบุคคลอื่นที่เข้าใจเกม พวกเขาพยายามผสานระหว่างการสื่อสารมวลชนกับความรู้ของอดีตผู้เล่นเข้าด้วยกัน นั่นเป็นอะไรที่ผมชอบมากครับ เพราะแบบนั้นจึงช่วยให้แฟนบอลในช่วงพักครึ่ง... ก่อนการแข่งขันช่วงครึ่งหลัง และหลังการแข่งขัน เข้าใจฟุตบอลได้ดีขึ้นบ้าง เพราะมีผู้เชี่ยวชาญมาแบ่งปันความคิดเห็นของตนเอง มีความคิดเห็นเพิ่มเติมจากภายในและภายนอก ซึ่งช่วงให้เห็นเกมแข่งขันที่กำลังดำเนินอยู่ได้มากขึ้น กล่าวคือพรีเมียร์ลีกแสดงให้เห็นว่าฟุตบอลสมัยใหม่มีลักษณะอย่างไร ไม่ว่าจะเป็นการถ่ายทอดการแข่งขัน แฟนบอล คอมมูนิตี้ การจับกลุ่มพูดคุย และบรรยากาศต่าง ๆ ซึ่งเราก็กำลังทำอะไรแบบนี้ในสเปนเหมือนกันครับ แล้วผมก็ชอบมากจริง ๆ

Guillem Balagué:

นั่นเป็นเรื่องน่ายินดีที่ได้รู้ว่าคนวงในอย่างนักเตะระดับตำนานแบบคุณเข้าใจว่าทั้งหมดนี้คือการนำเสนอ ทุกอย่างล้วนเป็นส่วนหนึ่งของการนำเสนอการแข่งขัน และเราทุกคนก็เป็นส่วนหนึ่งของการแสดงนั่นเหมือนกัน

Roberto Carlos:

ครับ…

Guillem Balagué:

และ…

Roberto Carlos:

ว่ามาเลยครับ

Guillem Balagué:

ผมแค่อยากจะถามว่าคุณคิดว่าอะไรทำให้พรีเมียร์ลีกแตกต่างจากลีกของสเปนเหรอครับ? ถ้ามองในเรื่องของเกม ความแตกต่างที่สำคัญที่สุดคืออะไรครับ?

Roberto Carlos:

ผมคิดว่าฟุตบอลอังกฤษมีพัฒนาการครั้งใหญ่มาก ผมจำได้ว่าฟุตบอลอังกฤษมีพื้นฐานมาจากการเล่นแบบบุกเข้าประตูและส่งลูกบอลเท่านั้น แต่ในตอนนี้เราเห็นผู้เล่นที่สามารถควบคุมการส่งบอล และการเล่นเกมที่มีความเร็วและความเข้มข้นสูงสุด ซึ่งผมชอบวิวัฒนาการนี้มากครับ เพราะนั่นคือสิ่งที่ฟุตบอลสเปนมักจะคำนึงถึงมาโดยตลอด ทั้งในเรื่องของการเล่นที่เข้มข้นและโอกาสในการทำประตู ยกเว้นบางแมตช์ แต่คุณก็ดูได้จากสถิติ แต่ผมไม่ค่อยเชื่อเรื่องสถิติมากเท่าไหร่นัก เพราะว่าพวกเราไม่ได้สนใจแค่ผลการแข่งขัน 1-0 หรือ 0-1 เท่านั้นครับ นั่นคือการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ที่เกิดขึ้นเพราะแฟนบอลต่างพากันไปรับชมฟุตบอลติดขอบสนามเพื่อจะได้ดูการยิงประตูของนักเตะคนโปรด และนั่นก็คือวิวัฒนาการของฟุตบอลสมัยใหม่ครับ

Guillem Balagué:

จะเห็นว่ามีรูปแบบการเล่นที่หลากหลายมากในลีกอังกฤษ อย่างสไตล์การเล่นของ คล็อพ (Klopp) จะไม่เหมือนกับของ กวาร์ดิโอลา (Guardiola) และการฟอร์มการเล่นของ มิเกล อาร์เตตา (Mikel Arteta) ก็แตกต่างจาก อังเก (Ange) จากสโมสรฟุตบอลทอตนัมฮอตสเปอร์ (Tottenham) แล้วคุณชอบดูสไตล์การเล่นแบบไหนมากที่สุดเหรอครับ?

Roberto Carlos:

สไตล์การเล่นของ อันเชลอตตี (Ancelotti) ครับ หากมองดูลิเวอร์พูลที่นำทีมโดยคล็อพจะเห็นว่าสไตล์การเล่นของพวกเขามีความคล้ายคลึงกับทางเรอัล มาดริด อยู่มากทีเดียว โค้ชที่มีอายุน้อยส่วนใหญ่มักจะเล่นเป็นฝ่ายตั้งรับมากกว่าเพื่อรับมือกับการรุก แต่ในกรณีของโค้ชที่มากประสบการณ์จะไม่ค่อยสนใจเรื่องนี้เท่าไหร่ครับ พวกเขามักจะให้ทีมเล่นง่าย ๆ และหากมีเหตุการณ์แปลก ๆ เกิดขึ้น พวกเขาก็มีวิธีเปลี่ยนนักเตะให้เป็นแนวรับมากขึ้น รูปแบบของสไตล์การเล่นจะขึ้นอยู่กับโค้ชทุกคนครับ และผมคิดว่าทางมาดริดของเราก็มีเกณฑ์มาตรฐานการเล่นระดับโลก สำหรับอันเชลอตตีที่ชนะมาหลายต่อหลายนัด เพราะว่าเป็นหนึ่งในโค้ชที่มองการณ์ไกล เขาจะไม่ได้พูดว่า "เราจะชนะ 2-0 เพราะเหตุผลนั่นนี่" เขาเตรียมทีมด้วยการบอกว่า "ถ้าเราจะชนะ เราก็จะเล่นเหมือนเดิม แต่ถ้าเราแพ้ เราจะเปลี่ยนวิธีการเล่น" และทีมของเขาก็รู้ว่าต้องทำอย่างไร คุณสมบัติและบรรยากาศที่ดีแบบนี้คือประสบการณ์ที่ผมได้รับครับ

Guillem Balagué:

คุณเกือบจะย้ายไปที่สโมสรฟุตบอลแอสตันวิลลา (Aston Villa) แล้วใช่ไหมครับ?

Roberto Carlos:

นานมาแล้วครับ ตอนนั้นผมอายุ 20 หรือ 21 ปี พวกเราเริ่มต้นด้วยแอสตันวิลลาในตอนที่ผมตั้งใจจะเล่นให้ทีมชาติบราซิล จากนั้นก็เล่นให้กับเชลซีในปี 2007 ที่ผมออกจากสโมสรเรอัล มาดริด ผมมีโอกาสไปเล่นในอังกฤษ แล้วก็ได้พูดคุยกับอับราโมวิช (Abramóvich) เกี่ยวกับสถานการณ์ในช่วงเวลานั้นครับ แต่เราก็ยังไม่บรรลุข้อตกลงเพราะรายละเอียดเล็ก ๆ บางอย่าง แต่ใช่ครับ ตอนนั้นสโมสรแอสตันวิลลากับเชลซีสนใจในตัวผม

Guillem Balagué:

คุณได้มองผู้เล่นในตำแหน่งกองหลังกับพัฒนาการของกองหลังในพรีเมียร์ลีกเป็นพิเศษบ้างไหมครับ? มีนักเตะคนไหนที่คุณชอบเป็นพิเศษหรือเปล่า?

Roberto Carlos:

ก็ทั้งหมดนะครับ แต่ไม่ใช่ผู้เล่นทั้งหมดที่มีสไตล์การรุกที่รุนแรงเหมือนสมัยของผมกับ กาฟู (Cafu) เล่นเท่าไหร่ ปกติแล้วกองหลังมีหลายประเภททั้งฝั่งซ้ายและฝั่งขวาของสนาม บางทีมมีกองหลังแนวรุกและบางทีมก็มีกองหลังแนวรับมากกว่า แต่สุดท้ายแล้วก็ไม่มีทีมไหนที่จะเล่นเหมือนกับRoberto Carlos ทุกประการหรอกครับ พวกเขาล้วนมีฝีมือดีกันทั้งนั้น บางคนก็เล่นให้ทีมชาติ และก็มีผู้เล่นฝั่งซ้ายอีกคนหนึ่งจากทีมชาติอังกฤษ…

Guillem Balagué:

ทริปเปียร์ (Trippier) สินะครับ

Roberto Carlos:

ใช่แล้ว เราได้เห็นพัฒนาการต่าง ๆ อย่างผมก็คงจะเล่นฝั่งขวาไม่ได้ แต่หากเป็นทริปเปียร์ในยุคนี้ เขาสามารถเล่นทางฝั่งซ้ายได้ แถมยังบุคลิกที่น่าทึ่งมากอีกด้วย นักเตะกองหลังทุกคนเก่งมากครับ และผมก็หวังว่าพวกเขาจะส่งข้อความมาหาว่า "ขอบคุณที่พูดถึงพวกเรา" นะครับ เพราะหากผมพูดถึงคนคนเดียวเดียวแล้วลืมนักเตะคนอื่นไป ผมก็จะได้รับข้อความว่าผมไม่ชอบพวกเขา

Guillem Balagué:

ผมสงสัยว่าคุณคิดเห็นอย่างไรเกี่ยวกับนักเตะอย่างกังเซลู (Cancelo) เหรอครับ? หากตามหลักการแล้วเขาเป็นผู้เล่นของทีมแมนเชสเตอร์ซิตี แต่ตอนนี้เขาอยู่ที่บาร์ซ่า และเขาก็เป็นหนึ่งในกองหลังที่พัฒนาไปเล่นกองกลางในระหว่างที่เล่นเกมรุก เขาเข้าไปเล่นในตำแหน่งกองกลาง บางครั้งเขาก็ปรากฏตัวเป็นกองหน้าตัวจบสกอร์ เพราะคุณเองก็เล่นแบบนั้นเหมือนกัน คุณเป็นผู้เล่นกองหลังที่บล็อคปีก แต่บางครั้งคุณก็เล่นในตำแหน่งปีกและกองกลาง แต่โดยปกติแล้วก็จะอยู่ในตำแหน่งกองกลางตัวกลางที่มีหน้าที่ทั้งรุกและรับ คุณอยากจะปรับตำแหน่งหรืออยากมีส่วนร่วมในการเล่นเป็นกองหลัง กองกลาง หรือกองหน้าที่ได้เลี้ยงบอลบ่อย ๆ แบบนี้บ้างไหมครับ?

Roberto Carlos:

ไม่ล่ะ ผมไม่ค่อยถนัดเลี้ยงบอลเท่าไหร่ นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ผมส่งบอลต่อให้ซิซู เบ็คแฮม หรือไม่ก็ฟีโกู ส่วนใหญ่ผมจะเล่นแบบไม่มีลูกบอล ส่วนมาร์เซลูมักจะชอบเล่นเป็นกองหลัง กองกลาง หรือตำแหน่งปีก สิ่งที่ผมชอบทำก็คือการปิดกองกลางทางด้านซ้ายและวิ่งบล็อคทั้งปีก เพราะผมชอบเล่นแบบไม่ต้องสนใจบอลครับ

Guillem Balagué:

งั้นเรามาพูดถึงการแข่งขันฟุตบอลระดับโลกและรางวัลบาลงดอร์ในวันที่ 30 ตุลาคมที่ผ่านมากันดีกว่าครับ มีนักเตะตัวเต็งสองคนก็คือ เมสซี่ (Messi ) กับ โฮลัน (Haaland) คุณจะมอบรางวัลให้ใครครับ?

Roberto Carlos:

พูดยากเหมือนกันนะครับ ถึงผมจะพูดอะไรไป ผลลัพธ์ก็ไม่เปลี่ยนแปลง เพราะสุดท้ายแล้วก็ไม่ใช่การตัดสินใจของผมคนเดียว ผมมองว่าเมสซี่กับโฮลันเป็นผู้เล่นที่ยอดเยี่ยมมาก ก็ขอให้นักเตะที่ดีที่สุดชนะไปครับ สำหรับเมสซี่ก็จะยังคงเป็นเมสซี่เสมอ เขาสร้างมาตรฐานให้กับนักเตะรุ่นหลังทุกคนที่อยากจะเล่นในตำแหน่งกรอบเขตโทษ ส่วนโฮลันก็ได้สร้างมาตรฐานให้กับแมนเชสเตอร์ซิตีไม่น้อย ถึงจะไม่ได้มีอิทธิพลกับทีมชาตินอร์เวย์เท่าไหร่เพราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในแมตช์แข่งขันกับสเปน แต่โฮลันก็นับว่าเป็นกองหน้ายุคใหม่ที่แข็งแกร่งมาก แถมยังยิงประตูได้เยอะด้วย หากใครอยากดูการทำประตูในพรีเมียร์ลีกก็ให้ลองดูแมตช์ของแมนเชสเตอร์ซิตีได้เลย นี่คงจะเป็นข้อโต้แย้งที่น่าตื่นเต้นทีเดียว ยังไงก็ขอให้ผู้เล่นที่ดีที่สุดได้รับชัยชนะไปแล้วกันครับ

Guillem Balagué:

คุณถูกถามเรื่องฟรีคิกในนัดเตะที่พบกับฝรั่งเศสในปี 1997 บ่อยไหมครับ?

Roberto Carlos:

ก็หลายครั้งนะครับ

Guillem Balagué:

ผมจำได้ว่าเคยคุยรายละเอียดในเรื่องนี้กับคุณมาก่อน เราใช้เวลามากกว่า 45 นาทีเลย สิ่งที่ผมติดใจมากที่สุดก็คือการที่คุณตัดสินใจเตะบอลลูกนั้น

Roberto Carlos:

ใช่ครับ

Guillem Balagué:

ช่วยเล่าให้ผมฟังอีกครั้งนะครับ

Roberto Carlos:

ทั้งหมดนั่นก็เป็นเรื่องของการฝึกฝนที่เด็ก ๆ สามารถเรียนรู้ได้ครับ ไม่มีอะไรมากไปกว่านั้นเลย เพราะสิ่งสำคัญที่สุดคือการวางเท้าและการเตะออกไปเท่านั้น ก็แค่วางลูกบอลในตำแหน่งที่ต้องการ โดยปกติผมจะวางลูกบอลโดยหันวาล์วเข้าหาตัวเอง เพราะผมคิดว่าลูกบอลจะเคลื่อนที่อยู่ตรงหน้าผู้รักษาประตู แต่ก็ยังคงมีคำถามกลับมาเหมือนเดิมเสมอว่าผมทำแบบได้ยังไง? ซึ่งผมก็ไม่รู้เหมือนกันครับ คงเป็นวันที่ผมบรรลุทักษะบางอย่างมั้งครับ

Guillem Balagué:

คุณเคยลองยิงประตูซ้ำอย่างที่เคยทำบ้างไหมครับ? แล้วคุณทำสำเร็จหรือเปล่า?

Roberto Carlos:

ผมลองมาหลายครั้งครับ แต่ก็ไม่สำเร็จ

Guillem Balagué:

น่าสนใจจริง ๆ มีการศึกษาทางวิทยาศาสตร์เพื่ออธิบายปรากฏการณ์ที่เกิดบ้างไหมครับ? หรือมีอะไรที่พอจะอธิบายให้กับนักเตะรุ่นหลังเพื่อที่พวกเขาจะได้ลองยิงประตูแบบเดียวกันหรือเปล่า?

Roberto Carlos:

ไม่ครับ ผมได้ยินหลายคนแสดงความคิดเห็นทางวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับลักษณะของลูกบอล การพยุงเท้า หรือการเคลื่อนไหวของเท้าซ้ายของผม แต่นั่นก็มีแค่ผมที่เป็นคนทำประตูได้ แล้วผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำได้ยังไง เพราะฉะนั้นวิทยาศาสตร์ก็ไม่อาจจะอธิบายได้ครับ ผมเห็นรูปถ่ายและวิดีโอจำนวนมาก และสิ่งที่เกิดขึ้นกับลูกบอลนั้นก็น่าทึ่งมาก บอลเคลื่อนตัวไปได้ไกลมาก ผมคิดว่าลมคงจะช่วยพยุงบอลลูกนั้นไปยังประตูด้วยมั้งครับ

Guillem Balagué:

และความสวยงามนั่นก็คือการฟุตบอลนั่นเอง ช่างเป็นเรื่องลึกลับจริง ๆ และนั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมพวกเราถึงสนใจสิ่งที่เกิดขึ้น จริงไหมครับ?

Roberto Carlos:

นั่นแหละคือคุณลักษณะของความเป็นฟุตบอล เป็นกีฬาสุดแสนพิเศษที่เราสามารถหาเลี้ยงและเรียนรู้สิ่งใหม่ในทุก ๆ วัน เพราะว่าฟุตบอลมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวนั่นเองครับ

Guillem Balagué:

คุณในฐานะนักฟุตบอลที่บางครั้งก็ถูกชักนำโดยสัญชาตญาณ หลายครั้งก็อาจจะปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ และยังเป็นผู้ที่มีพรสวรรค์ตามธรรมชาติมากกว่าการเรียนรู้ คุณรู้สึกบ้างไหมครับว่าคุณลักษณะแบบนี้กำลังจะถูกมองข้ามไป?

Roberto Carlos:

ก็อาจจะเป็นไปได้ครับ แต่หลายอย่างก็ขึ้นอยู่กับโค้ชด้วยเหมือกัน ผมได้เรียนรู้สิ่งเหล่านี้ตอนที่ผมเล่นที่มาดริด รวมทั้งในยุคสมัยของผม โค้ชบางคนชอบการเล่นแบบกลยุทธ์ ขณะที่บางคนอาจจะชอบความแข็งแกร่งมากกว่าเทคนิค ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับแต่ละคนและพวกเขาก็มีแนวทางเป็นของตัวเอง ผมไม่คิดว่าสโมสรมาดริดจะเปลี่ยนแปลงแนวทางหรอกนะครับ ส่วนหนึ่งก็เพราะภูมิหลังของเราเอง สไตล์การเล่นฟุตบอลแบบนุ่มนวลมากขึ้นหรือการเล่นแนวตั้งรับที่มากขึ้นก็ไม่ใช่แนวทางของเราเช่นกัน เพราะว่าสโมสรและโค้ชทุกคนมีปรัชญาเป็นของตัวเอง และผมรู้จักสโมสรแห่งนี้เป็นอย่างดีครับ ผมทำงานที่นี่และก็รู้ว่าเราจะไม่มีวันสูญเสียแก่นแท้ของฟุตบอลสมัยใหม่ ทั้งในเรื่องของความเร็ว การเลี้ยงบอล การแข่งขัน และการวิ่ง เพราะคนทั่วไปอยากจะเห็นการแสดง แต่ที่เบร์นาเบวก็อาจจะแตกต่างออกไป

Guillem Balagué:

เพื่อนร่วมทีมหลายคนตั้งแต่ตอนที่คุณคว้าแชมป์ และตอนนี้ก็กลายเป็นโค้ชหรือผู้มีอำนาจตัดสินใจในตำแหน่งสำคัญไปแล้ว เรามาพูดถึงการเป็นโค้ชกันก่อนดีกว่า คุณคิดว่ามีใครบ้างที่จะเปลี่ยนเส้นทางอาชีพมาทางนี้บ้างครับ? ตามหลักซีดานก็ถือว่าประสบความสำเร็จไปแล้ว คุณแปลกใจไหมครับ?

Roberto Carlos:

ไม่ครับ ผมไม่แปลกใจเลย เพราะตอนที่ซิซูลงสนาม เขาเป็นคนที่สุขุมมากและได้เรียนรู้อะไรหลายอย่างจากเกม และแน่นอนว่าในฐานะโค้ชของเขาก็ได้สร้างประวัติศาสตร์อยู่บ้าง จริงไหม? อย่างแชมเปี้ยนส์ลีก ลาลีกา ซูเปอร์คัพ (Super Cup) หรืออินเตอร์คอนติเนนตัลคัพ (Intercontinental Cup)

ผมไม่แปลกใจอะไรเลยเพราะซิซูเป็นคนที่มักจะถูกพูดถึงทั้งในและนอกสนาม เขารู้วิธีการเป็นผู้นำที่ดีครับ และผมคิดว่าประสบการณ์ที่เขามีกับอันเชลอตตีเป็นตัวช่วยเขาได้ดี ซึ่งเราก็ต้องชื่นชมเขาในฐานะโค้ชด้วยเหมือนกัน เพราะว่านี่เป็นการผสมผสานที่ลงตัวสำหรับเขาที่จะคว้าแชมป์ต่าง ๆ มากมาย

Guillem Balagué:

มีใครอีกบ้างครับ? อย่างเช่นราอุล?

Roberto Carlos:

ราอุลกำลังไปได้ดีกับทางสโมสรฟุตบอลเรอัลมาดริดกัสติยา (Real Madrid Castilla) แล้วเขายังรู้ภูมิหลังของสโมสรแห่งนี้เป็นอย่างดีจนได้เป็นแชมป์ที่นั่นครับ ครั้งหนึ่งที่มาดริดคว้าแชมป์ยูธลีก (Youth League) เพราะว่าราอูล และเขาก็ได้สอนทีมเยาวชนของเรอัล มาดริด เกี่ยวกับวิธีการวางตำแหน่งของตัวเองทั้งในและนอกสนาม เขาเป็นทั้งบุคคลและเป็นโค้ชที่จะประสบความสำเร็จอย่างมากแน่นอน เพราะว่าเขาชอบที่จะเอาชนะอยู่เสมอครับ

Guillem Balagué:

พวกเราจะไม่โน้มน้าวให้ฟีกูไปเป็นโค้ชใช่ไหมครับ?

Roberto Carlos:

ไม่ครับ ไม่ควรพูดถึงฟีกูจะดีกว่า เพราะว่าเขาเป็นมากกว่านั้น... เขาก็มีสถานการณ์เดียวกันกับผมนี่แหล่ะครับ

Guillem Balagué:

ในตอนนี้คุณก็กำลังฝึกฝนอยู่เหมือนกัน คุณชอบอะไรมากกว่ากันครับ? ระหว่างการฝึกฝนหรือต้องอยู่ในสำนักงาน? หรือการทำงานเป็นตัวแทนเหมือนตอนนี้?

Roberto Carlos:

การทำงานเป็นตัวแทนเป็นอะไรที่สนุกที่สุดครับ ในตอนนี้ผมทำงานมากกว่าตอนที่ลงแข่งในสนามซะอีก ตอนนั้นผมฝึกซ้อมสองชั่วโมงและก็ลงเล่นในช่วงสุดสัปดาห์ แต่วันนี้ผมเริ่มงานตอน 8 โมงเช้า และก็ต้องถือโทรศัพท์เอาไว้ในมืออยู่ตลอดเวลาเพื่อตรวจสอบว่าจะถูกเรียกตัวให้ไปร่วมงานในฐานะของตัวแทนสโมสรเรอัล มาดริด หรือเปล่า ผมล้อเล่นกับเรื่องนี้บ่อยมาก แต่ก็ดีใจที่ได้เป็นตัวแทนของเรอัล มาดริด เล่าเรื่องราวประวัติศาสตร์สโมสร รวมทั้งได้ไปท่องเที่ยวร่วมกับทีม ผมจะต้องถ่ายรูปที่เอมิลิโอ (Emilio) ไม่ได้ถ่าย เป็นช่วงเวลาที่สนุกมากครับ ผมรู้สึกดีใจและขอบคุณประธานสโมสรที่ให้โอกาสผม

Guillem Balagué:

และตอนนี้เราก็มีโรนัลโด (Ronaldo) เป็นประธานในฐานะเจ้าของสโมสรฟุตบอล คุณเคยจินตนาการแบบนั้นมาก่อนไหมครับ?

Roberto Carlos:

ทั้งในส่วนของสโมสรครูเซโร่ (Cruzeiro) และบายาโดลิด (Valladolid) ก็ใช่ครับ ผมมองว่า โรนี (Rony) เป็นประธานมาโดยตลอดเพราะเขาวางตำแหน่งตัวเองเป็นประธานอยู่แล้วครับ เขามักจะนำสิ่งใหม่ทั้งความทันสมัยและภูมิหลังทั้งหมดที่เขามี รวมทั้งการสร้างสนามกีฬาแห่งใหม่ เมืองกีฬาที่ทันสมัย... พูดง่าย ๆ เลยก็คือ โรนีเป็นคนที่พิเศษมากครับ

Guillem Balagué:

ตอนที่คุณคว้าแชมป์ฟุตบอลโลก (World Cup) พร้อมกับโรนัลโด และรู้สึกที่ถึงชัยชนะในครั้งนั้น...ในช่วงเวลานั้นนับว่าเป็นความสุขอันยิ่งใหญ่เลยก็ว่าได้ แต่เมื่อเวลาหลายปีผ่านไป คุณก็ตระหนักได้ว่านั่นเป็นความรู้สึกที่เหลือเชื่อมาก จริงไหมครับ?

Roberto Carlos:

ใช่ครับ เมื่อไหร่ที่หยุดเล่นฟุตบอลก็จะตระหนักได้ว่าตัวเองผ่านเหตุการณ์ต่าง ๆ มามากแค่ไหน เมื่อวานนี้ผมมีโอกาสได้คุยกับเพื่อนที่มาดริด แล้วเขาก็ถามผมเกี่ยวกับการคว้าแชมป์แชมเปี้ยนส์ลีก แชมป์ฟุตบอลโลก และแชมป์อินเตอร์คอนติเนนตัล และผมอธิบายให้เขาฟังว่าเมื่อตอนที่ยังมีแรงเหลือล้นก็แค่โฟกัสกับการเล่นฟุตบอลก็พอแล้ว และผมก็ได้เห็นพลังเหล่านั้นในตัวนักเตะของเราในวันนี้ แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่เลิกเล่นและมองย้อนกลับไป ก็จะเห็นทั้งเส้นทางอาชีพที่ผ่านมา จำนวนเกมที่เล่น เกมที่ชนะ แชมป์ที่ได้รับ รวมทั้งเกมที่เคยแพ้ ชีวิตในฐานะนักฟุตบอลนั้นสนุกมากและการโลดเล่นในวงการนั้นก็คือตำแหน่งแห่งชัยชนะ และผมพูดเสมอว่าผมโชคดีที่มีโอกาสได้เล่นให้กับทีมชาติ แชมป์โลก 5 สมัย และได้เล่นให้กับสโมสรเรอัล มาดริด ในสโมสรแห่งนี้มักจะเป็นการแข่งขันมาโดยตลอดเสมอ (หมายถึงแชมเปี้ยนส์ลีก) เราไม่สามารถคว้าชัยชนะมากว่า 32 ปี แต่สุดท้ายในปี 1996, 1997, 1998 เราก็สามารถเอาชัยชนะมาครอบครองได้อีกครั้ง นั่นคือสิ่งที่ทำให้ผมมีความสุขที่ได้สวมเสื้อสีเขียวเหลือง รวมถึงการได้สวมตราสัญลักษณ์ของสโมสรเรอัล มาดริด บนอกเสื้อด้วยครับ ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายเลยจริง ๆ

Guillem Balagué:

ผมไม่แน่ใจว่าจะเป็นเรื่องง่ายหรือเปล่าที่จะให้คุณเลือกสิ่งที่คุณรู้สึกภาคภูมิใจมากที่สุด อย่างการที่คุณประสบความสำเร็จทุกอย่าง การเป็นสุดยอดนักฟุตบอลที่คุณฝากเอาไว้ การมีเป้าหมายที่ชัดเจน หรือว่าการคว้าแชมป์? คุณภูมิใจกับอะไรมากที่สุดเหรอครับ?

Roberto Carlos:

หากผมสามารถยิงประตูนั้นที่มิยาโตวิชยิงได้ในรอบชิงชนะเลิศแชมเปี้ยนส์ลีก... คุณจำได้ไหมครับ? ผมยิงเข้าประตูแล้ว แต่ผู้เล่นแนวรับก็ถูกขัดจังหวะก่อนที่มิยาโตวิชจะทำประตูได้ ผมคิดว่าช่วงเวลานั้นทิ้งร่องรอยเอาไว้บนเส้นทางอาชีพของผมไปบ้างแล้ว แน่นอนว่ายังมีช่วงเวลาที่ผมจ่ายบอลให้กับซิซู และก็ทำให้ทีมชาติของเราคว้าแชมป์โลกมาได้ แต่ผมอาจจะคว้าแชมป์โลกได้สองครั้ง แต่เราแพ้ให้กับฝรั่งเศสในปี 1998 และก็ไม่เคยพูดถึงช่วงเวลาที่ดีที่สุดเลย เพราะว่าการจดจำสิ่งที่สูญเสียเป็นอะไรที่ง่ายกว่าสิ่งที่ได้รับ แต่ประวัติศาสตร์ก็ถูกสร้างขึ้นที่นั่น ผมคิดว่านั่นคือทุกอย่างผมประสบมาในชีวิต…

แน่นอนว่าผมจำช่วงเวลาที่ยอดเยี่ยมได้ แต่ในเวลาเดียวกันผมก็รู้สึกเศร้าที่ไม่ได้รับรางวัลในปี 1998 เพราะไม่สามารถทำประตูใส่สโมสรยูเวนตุส (Juve) ในรอบชิงชนะเลิศแชมเปี้ยนส์ลีกได้ และความทรงจำอื่น ๆ ก็ดีทั้งหมดนะครับ ไม่ว่าจะได้มีโอกาสเล่นกับนักเตะที่ดีที่สุด ได้รับการฝึกฝนกับนักเตะที่เก่งที่สุด และได้รู้จักกับโลกแห่งฟุตบอลที่แท้จริง ผู้คนเหล่านั้นปฏิบัติกับผมด้วยความรักและความเคารพอย่างมาก ซึ่งเป็นสิ่งที่ดีจริง ๆ ผมไม่รู้สึกเจ็บปวดกับอะไรเลย และก็มีความสุขและภูมิใจมากที่ได้ใช้ชีวิตในฐานะอาชีพนักฟุตบอลที่รายล้อมไปด้วยคนดี ๆ มาเป็นเวลา 27 ปี

Guillem Balagué:

ผมรู้สึกประทับใจตลอดที่ได้ยินคุณบอกว่าสิ่งที่คุณทำนั้นไม่ใช่งาน แต่สิ่งที่คุณทำคือความหลงใหลในฟุตบอล เกมการแข่งขัน และการมีส่วนร่วมในทุกจังหวะ เพราะฉะนั้นต้องขอแสดงความยินดีกับRobertoด้วยนะครับ และเป็นเกียรติที่ได้พูดคุยกับคุณเสมอ

Roberto Carlos:

เช่นเดียวกันครับ ฟุตบอลสอนผมหลายอย่างและคนที่รู้จักกับRoberto Carlos ตั้งแต่แรกจนถึงทุกวันนี้ก็รู้ดีว่าผมเล่นเพื่อแฟนบอลมาโดยตลอด ผมทำแบบนั้นเพราะอยากให้คนที่มาดูผมได้รับความสนุกสนานในสนามครับ

Guillem Balagué:

คุณคือตำนานครับ!

Roberto Carlos:

ขอบคุณมากครับ คุณก็เช่นกันนะ

Guillem Balagué:

คุณRoberto แม้ว่าฟุตบอลจะมอบสิ่งดี ๆ หลายอย่าง แต่สิ่งที่แย่ที่สุดคืออาการบาดเจ็บที่อาจจะเป็นจุดจบฤดูกาลแข่งขันหรืออาจจะแย่กว่านั้นก็ได้ อย่างที่เราเพิ่งจะเห็นว่าเนย์มาร์ (Neymar) จะไม่ลงเล่นในฤดูกาลนี้อีกแล้ว และอาการบาดเจ็บของเขาก็สาหัสมากทีเดียว พอคุณรู้ข่าวนี้ก็ตกใจเหมือนกันใช่ไหมครับ?

Roberto Carlos:

ผมคิดว่าตอนที่เราเริ่มพูดถึงฟุตบอล เราได้พูดคุยเล็กน้อยเกี่ยวกับอาการบาดเจ็บของกูร์ตัว มีลีเตา และนักเตะคนอื่น ๆ จากบาร์เซโลนาด้วยนะครับ ซึ่งนั่นทำให้พวกเราเสียใจมาก แต่ระหว่างเกมการแข่งขันระหว่างอุรุกวัยกับบราซิล เนย์มาร์ก็ดันมีอาการบาดเจ็บ แล้วสาเหตุที่ทำให้หนึ่งในผู้เล่นที่เก่งที่สุดในโลกได้รับบาดเจ็บคืออะไร? ก็เพราะว่าสนามไม่ดียังไงล่ะ นักฟุตบอลกลุ่มนี้มีแมตช์การแข่งขันต่อคิวให้ลงเล่นอีกมากมาย เมสซี่เองก็ยังได้รับบาดเจ็บในเกมของอินเตอร์ไมแอมีเมื่อวันก่อน ส่วนคริสเตียโน (Cristiano) ที่น่าจะดูแลตัวเองได้ แต่ผมแน่ใจว่าเขากำลังมีปัญหากับอาการปวดกล้ามเนื้ออยู่เหมือนกัน พอพูดถึงเนย์มาร์ พวกเราทุกคนรู้เหตุผลดีว่าเขาก้าวเท้าได้ไม่ดีเพราะว่าสภาพสนามประกอบกับความเหนื่อยล้าทางร่างกาย บางครั้งการเคลื่อนไหวเพียงหนึ่งอย่างที่ทำด้วยความเร็วก็อาจจะทำให้ร่างกายพังได้ และสิ่งหนึ่งที่เขาให้ความสำคัญก็คือลูกสาวของเขาเพิ่งเกิด ผมเชื่อว่าในตอนนี้เขาคงจะมีความสุขที่ได้ใช้เวลากับครอบครัวแล้ว เห็นได้ว่ามีข้อเสียแต่ย่อมมีข้อดีเช่นกัน เมื่อเขาได้รับบาดเจ็บก็ต้องพักฟื้นไป 6 - 8 เดือนโดยไม่ต้องลงเล่น ในเวลาเดียวกันครอบครัวของเขาจะสนับสนุนและมอบความแข็งแกร่งให้เขาฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็วที่สุดเพื่อจะได้กลับมาลงเล่นเหมือนเดิม เพราะว่าฟุตบอลเรียกร้องหาเขาเช่นกัน

Guillem Balagué:

ผมอยากจะถามอีกหนึ่งคำถามเกี่ยวกับเอล กลาซิโกในอนาคตนะครับ อยากรู้ว่าคุณมีความเห็นอย่างไร แล้วคุณจินตนาการถึงผลลัพธ์แบบไหนบ้าง? ในตอนนี้ดูเหมือนว่ามาดริด บาร์ซา และอัตเลติโกเดมาดริด (Atlético de Madrid) ต่างแข่งขันกันเพื่อให้ได้แชมป์มาครอง สิ่งนี้จะต้องสร้างปรากฏการณ์ที่สำคัญแน่ แต่คุณมีความรู้สึกที่พิเศษกับเอล กลาซิโก บ้างไหมครับ?

Roberto Carlos:

เป็นเรื่องที่ซับซ้อนสำหรับทั้งสองทีมครับ หากมีกำหนดการแข่งขันที่เบร์นาเบว ผมจะบอกเรื่องสำคัญให้คุณรู้แน่นอน แต่เรากำลังจะลงเล่นในบาร์เซโลน่า เราจะได้เห็นว่าสภาพจิตใจและนักเตะบาร์เซโลน่าจะฟื้นตัวในไม่กี่สัปดาห์อย่างไร และก่อนที่จะแข่งกับบาร์เซโลน่า เรามีนัดเตะกับบรากาที่จะเล่นในโปรตุเกสครับ แล้วพวกเขาก็ยังมีนัดสำคัญในแชมเปี้ยนส์ลีกด้วย หรือก็คือหากคุณเข้ามาเป็นผู้นำลีก เราจะมอบตำแหน่งที่ดีกว่าให้กับคุณนั่นเองแต่สำหรับการแข่งขันที่เอล กลาซิโก ค่อนข้างจะเท่าเทียมกันขึ้นอยู่กับแรงจูงใจและช่วงเวลาด้วย ผมมั่นใจว่านี่จะเป็นเกมที่ยอดเยี่ยมแน่นอน และพวกเราก็จะเล่นด้วยความหวังสูงสุดในการสร้างเกมที่ยอดเยี่ยมครับ ถ้าถามว่ายากไหมที่จะเอาชนะในเกมนั้น? ก็ต้องบอกว่ายากครับ แต่การชนะของพวกเขาก็เป็นเรื่องยากเช่นกัน นี่จึงเป็นแมตช์ที่น่าจับตามองมากทีเดียวครับ

Guillem Balagué:

ขอบคุณนะครับ คุณ Roberto

Roberto Carlos:

ขอบคุณเช่นกันครับ

เราต้องขอขอบคุณ Roberto Carlos และ Guillem Balagué เป็นอย่างมากที่มอบบทสัมภาษณ์อันน่าติดตามแบบนี้ รวมทั้งพันธมิตรของเราอย่างเว็บไซต์ bet365 ที่จะช่วยให้คุณเพลิดเพลินไปกับโบนัสต้อนรับสุดพิเศษ เพียงแค่ป้อน รหัสโบนัส bet365 เมื่อลงทะเบียนเปิดบัญชีใหม่เท่านั้น!

ความคิดเห็น (0)
เล่นอย่างมีความรับผิดชอบ 18+